ประเทศไทยหลังรัฐประหารครั้งหลังสุด พศ 2558 วันนี้ก็เกือบจะครบ 10 ปี (อีกไม่กี่เดือน) เราก็ยังวนเวียนกับปัญหาเดิมๆ ความไร้เสถียรภาพ ไร้ภาวะผู้นำ การปกครองที่เหมือนไม่ได้ปกครอง แต่ก็ยังถือว่าดีหน่อย ที่ได้มีพรรคการเมืองเกิดใหม่ ขณะนี้เป็นฝ่ายค้าน เขาเป็นคนรุ่นใหม่ ก็ตั้งใจทำงาน มุ่งจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้ดีขึ้น อย่างน้อยก็ถือว่า ชาติไทยก็ยังไม่สิ้นคนดี ท่ามกลางความฉ้อฉลอลหม่าน อย่างต่อเนื่อง ไม่ขาดสาย
ปี 2562 พวกทหารยอมเปิดให้เลือกตั้ง แต่เขาเขียนรัฐธรรมนูญ ล็อคไว้หลายอย่าง จะสืบทอดอำนาจ แล้วก็ได้สืบจริง นายพลทหารเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ พอมาเลือกตั้งปี 2566 ปีที่แล้ว พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยพรรคหนึ่ง เกิดสลัดขั้ว ไปสมสู่กับฝ่ายทหาร เขาก็ให้เป็นนายกฯ ทีนี้พอได้อำนาจแล้ว ก็เหมือนเป็นอัมพาตไปเลย คือทำไรไม่ได้เลย โครงการอะไรต่างๆ นโยบายต่างๆ ทำไม่ค่อยได้ คิดว่าคงมีอำนาจบางอย่าง ที่คอยกำกับอยู่ แต่พรรคนี้ อย่างน้อยเขาก็ทำสำเร็จ อย่าง คือพาพ่อกลับบ้านได้ แล้วปลดเปลื้องมลทิลต่างๆ ในอดีต ไปเหมือนจะหมดสิ้น ภายในระยะเวลาเพียง 6 เดือน อดีตนายกฯบินกลับไทย โก้ๆ จากนั้นไปคุก แต่จนถึงวันนี้ก็ไม่มีใครอธิบายได้ ว่าได้ติดคุกหรือไม่ ติดกี่วัน แม้แต่โรงพยาบาลตำรวจ ที่ว่าป่วยกะทันหัน แล้วต้องติดเตียงอยู่เป็น 6 เดือน แต่พอออกคุกได้ ไปตีกอล์ฟได้เฉย นี่แหละความดำมืดของประเทศไทย
ก็จะลองมาสรุป สภาวะทางการเมืองประเทศนี้กัน ว่าขณะนี้เป็นยังไง ขณะนี้รัฐบาลนี้เปลี่ยนนายกมาคนที่ 2 แล้ว (นับจากเลือกตั้ง 66) คนแรกโดนเรื่องจริยธรรม ไปแต่งตั้งตำแหน่งหนึ่งทางการเมือง ถูกศาลเขี่ยออกดื้อๆเลย แล้วเขาก็ยกเอาลูกสาวอดีตนายกขึ้นมาเป็นแทน แต่ดูเหมือนก็ไม่ค่อยพร้อม ทำไปอย่างงั้น ๆ ทำนองว่า ถูไถเป็นกันไป แล้วขณะนี้ อดีตนายกทักษิณ ออกตระเวณแสดงบทบาทมากมาย ไปช่วยหาเสียงเลือกตั้ง แสดงวิสัยทัศน์ อะไรต่างๆ ดูแล้วเหมือนเป็นตัวละครหลัก ของฝ่ายรัฐบาลไปเสียยังงั้น ขณะที่บทบาทของนายกฯโดยตำแหน่ง ไม่ค่อยมีอะไร ไม่พูดอะไร นักข่าวถามก็ไม่ตอบ สภาถามก็ไม่ไป กลายเป็นตีมึนไปซะอย่างงั้น
ขณะนี้ไทยกำลังจะมีการเลือกตั้ง นายก อบจ. (องค์การบริหารส่วนจังหวัด) กันทั่วประเทศ พร้อมกับการเลือกตั้ง ส.อบจ. (สมาชิกสภา อบจ.) เลือกพร้อมกันวันเสาร์ที่ 1 กพ 2568 ที่จะถึงนี้ พรรคประชาชน (เดิมคือพรรคก้าวไกล ถูกยุบเมื่อปลายปีที่แล้ว) ก็ขะมักเขม้นส่งตัวแทนลงสมัคร นายก อบจ. หลายจังหวัด มีสมาชิก อบจ. อีกหลายจังหวัดเช่นเดียวกัน ดูๆแล้วก็มีแต่พรรคเพื่อไทย ก็เข้ามาแข่งกัน ส่วนพรรคอื่นๆ ดูเหมือนเงียบๆ คิดว่าคงจะไปตกลงกันกับเพื่อไทย ว่าจังหวัดไหนใครจะลง อะไรประมาณนั้น สมัยก่อนมา การเลือกตั้ง อบจ. หรือระดับที่ต่ำกว่านี้ เขาไม่ค่อยให้ความสนใจกัน แล้วก็มักมีเจ้าประจำ มาลงสมัครแล้วก็กินไป สบายๆ คือประชาชนก็คล้ายว่า ใครให้เงินมาฉันก็กาให้เบอร์นั้น ทำนองนั้น
ทีนี้ตั้งแต่พรรคประชาชนมาจะลงในระดับนี้ พรรคเพื่อไทยก็ขันแข็งจะลงสู้ขึ้นมาทันที ตอนนี้ก็พากันไปดีลกับพวกบ้านใหญ่การเมืองทั้งหลาย ประจำจังหวัด แล้วลงหาเสียงปราศรัยกัน แต่ดูแนวแล้ว ก็เป็นแบบเก่าๆ คือหาเสียง อ้อนเอาคะแนนจากชาวบ้าน ส่วนเรื่องนโยบาย แผนการ อะไรต่างๆ ก็ไม่ค่อยได้คิดได้ทำเท่าไหร่ จะมีก็แต่พูดไปเรื่อยๆ ทำได้-ไม่ได้ ไม่รู้ ใช้สำนวนโวหารเอา อะไรแบบนั้น
ก็กลายเป็นว่า ขั้วการเมืองมี 2 ขั้วใหญ่ คือพรรคประชาชน กับพรรคเพื่อไทย ประชันกันอยู่ ส่วนพรรคอื่นๆ กลายเป็นพรรคประเภท แถวหลัง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ทำนองว่า ใครชนะ ข้าก็จะไปร่วมด้วย อะไรประมาณนั้น พวกนี้จึงไม่ค่อยแสดงบทบาทเด่นอะไร สรุปของสรุปอีกที จะว่ายังไง ก็น่าจะว่า การเมืองได้แบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย คือการเมืองเก่า กับการเมืองใหม่
พวกเก่าก็อยู่กับ อำนาจ อิทธิพล บริหารไปแบบลูกทุ่ง ๆ หรือจะว่าคล้ายๆเถ้าแก่ คนๆเดียวสั่งการ ไม่ได้มีหลักกงหลักการอะไรมากนัก ขณะที่ฝ่ายการเมืองใหม่ ก็พยายามจะทำการเมืองแบบใหม่ พวกนี้เขาจะทำอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีหลักการ วิชาการ มีข้อมูล เขาเป็นพวกหนุ่มสาว ที่เติบโตมาจากพรรคอนาคตใหม่ ที่ก่อตั้งเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว สืบทอดกันมา นับวันพวกเขาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนส่วนใหญ่ก็โน้มเอียงไปทางเขา ทุกวัย เพียงแต่ในสนามเลือกตั้ง อบจ. ยังมีเงาทะมึน เก่าๆ คลุมอยู่ คือยังฉ้อฉลกันอยู่มาก แต่คิดว่าเลือกรอบนี้ พรรคการเมืองใหม่นี้น่าจะได้นายก อบจ. จำนวนหนึ่ง ซึ่งอันนี้แหละจะกลายเป็นการปูรากฐานสำคัญต่อไปในอนาคต
การผลิดอกออกผลของหนุ่มสาวผู้มีอุดมการณ์ จะเบ่งบานไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็จะเต็มทุ่งในไม่ช้า ประเทศนี้กำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ ยุคใหม่ อย่างแท้จริง